บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
วิธีรับมือเมื่อปิดการขายไม่ลง และลูกค้าบอกว่าขอศึกษาดูก่อน
เมื่อเจอข้อโต้แย้งแบบนี้ อาจเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก:
เคล็ดลับ:
คำพูดที่ว่า “ขอศึกษาดูก่อน” มักเป็นข้ออ้างปฏิเสธที่ไม่ตรงไปตรงมา หากเราถามคำถามและสร้างความไว้วางใจได้ ลูกค้าจะเปิดใจบอกปัญหาที่แท้จริง ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น!
– **คำถาม:** “ธุรกิจของคุณมีความท้าทายอะไรบ้างในตอนนี้?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่าเขามีปัญหาในการขยายฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศ เราสามารถนำเสนอโซลูชันการทำการตลาดออนไลน์เพื่อช่วยขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศได้
– **คำถาม:** “ในปัญหาที่คุณมี สิ่งใดที่ต้องแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “ตอนนี้เราต้องการระบบที่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผลิตก่อน” ดังนั้นเราควรเน้นไปที่การนำเสนอโซลูชันที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตมากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านอื่น
– **คำถาม:** “อะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่าควรหยุดทำเพื่อให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “เรายังคงใช้กระบวนการบันทึกข้อมูลด้วยมือ ซึ่งกินเวลาและเกิดความผิดพลาดง่าย” เราสามารถนำเสนอโซลูชันการจัดการข้อมูลด้วยระบบอัตโนมัติแทน
– **คำถาม:** “คุณใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการทำงานนี้?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่าเขาใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหาลูกค้า ซึ่งเราสามารถเสนอการจ้างงานเสริมภายนอกหรือโซลูชันที่ช่วยประหยัดเวลาได้
– **คำถาม:** “กระบวนการอนุมัติหรือการตัดสินใจในองค์กรของคุณมีขั้นตอนอย่างไร?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “ทุกการอนุมัติต้องผ่านซีอีโอและใช้เวลาประมาณ 3 เดือน” เราจึงต้องเตรียมข้อมูลและนำเสนอโซลูชันให้ซีอีโอตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น
– **คำถาม:** “คุณจะวัดผลลัพธ์ของโครงการนี้อย่างไร?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “เราจะวัดผลจากการลดต้นทุนการผลิตลง 20%” ซึ่งเราสามารถเสนอวิธีการหรือเครื่องมือที่ทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้
– **คำถาม:** “อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการและไม่ต้องการในโซลูชันนี้?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “ฉันต้องการระบบที่ใช้งานง่าย แต่ไม่ต้องการสิ่งที่ซับซ้อนหรือยุ่งยาก” เราจึงเลือกแนะนำระบบที่ตอบโจทย์ความง่ายต่อการใช้งาน
– **คำถาม:** “ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในองค์กรของคุณได้ คุณอยากเปลี่ยนอะไร?”
– **ตัวอย่าง:** ลูกค้าบอกว่า “ฉันอยากจะเปลี่ยนการทำงานแบบเป็นกระดาษมาเป็นระบบดิจิทัล” เราเสนอ โปรแกรมตรอ. หรือซอฟต์แวร์ที่ทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น
สรุป
คำถามที่ช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าในเชิงลึก ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และนำเสนอโซลูชันที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด
1.เทคนิคขายประกันง่ายๆภายใน 5 นาทีด้วยบทการขายสมการชีวิต (คลิป)
2.ขายประกัน…หากเปิดใจไม่ผ่าน อย่าเสนอขายเด็ดขาด!!! (คลิป)
3.เทคนิคทำให้ลูกค้าชอบคุณใน 1 นาที / พี่เจฟสอนการขายพิชิตเงินล้าน! (คลิป)
4.ผมไม่เชื่อเรื่องประกันไม่ต้องมาคุย! (คลิป)
5. รายจ่ายเยอะซื้อประกันไม่ไหว! (คลิป)
6.เมื่อกำลังขายประกันชีวิตแต่โดนช็อตฟีล (คลิป)
7. 3 ขั้นตอนปิดการขาย ที่ทำให้ลูกค้าเต็มใจซื้อประกันชีวิต (คลิป)
7 ขั้นตอนการขาย และการนำไปใช้เพื่อวิเคราะห์จุดบกพร่อง
ขั้นตอนที่ 1: การแสวงหาผู้มุ่งหวัง (Prospecting)
เริ่มจากการค้นหาและระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้า เพื่อสร้างโอกาสในการขาย
ขั้นตอนที่ 2: การเปิดใจ (Building Rapport)
สร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับลูกค้า ให้เขารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับเรา
ขั้นตอนที่ 3: การระบุความต้องการ (Identifying Needs)
ทำความเข้าใจและค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยแต่ละคนอาจมีความต้องการที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นสินค้าเดียวกัน
ขั้นตอนที่ 4: การนำเสนอสินค้า (Presentation)
นำเสนอสินค้าและบริการในลักษณะที่ตอบโจทย์และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
ขั้นตอนที่ 5: การตอบข้อโต้แย้ง (Handling Objections)
จัดการกับคำถามหรือข้อโต้แย้งจากลูกค้าอย่างมั่นใจและมืออาชีพ
ขั้นตอนที่ 6: การปิดการขาย (Closing the Sale)
สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า
ขั้นตอนที่ 7: การเจรจาต่อรองราคา (Negotiation)
พูดคุยเรื่องราคาหรือเงื่อนไขให้เหมาะสมและยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
การนำ 7 ขั้นตอนมาปรับใช้
หากคุณนำ 7 ขั้นตอนมาปรับใช้อย่างมีระบบและใช้สถิติเพื่อประเมินผล เช่น พบลูกค้า 10 คน ปิดการขายได้ 1 คน หรือพบ 100 คน ปิดได้ 10 คน คุณจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าจุดที่ต้องปรับปรุงอยู่ตรงไหน
การขายเปรียบเสมือนศิลปะและกีฬาการขายที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การทำงานแบบ “มวยวัด” ที่ทำไปแบบไม่มีเป้าหมาย แต่เหมือนมวยที่มีการฝึกฝน เข้าใจจังหวะ โยกหลบ และปล่อยหมัดเด็ดในโอกาสที่เหมาะสมการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเหมือนการหัดขี่จักรยาน ที่แม้จะมีคนสอนเก่งแค่ไหน แต่คุณต้องล้มเองเพื่อเรียนรู้วิธีทรงตัวและควบคุมจักรยาน การขายก็เช่นกัน คุณต้องฝึกฝน ทดลอง และเรียนรู้จากสถานการณ์จริงเป้าหมายคือโฟกัสที่การสร้างระบบงานขายที่มีแบบแผน และใช้ประสบการณ์ในการปรับปรุงทักษะของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนสามารถถอดรหัสความสำเร็จได้ในที่สุด
3 เทคนิคช่วยขจัดความกลัว ความกังวล ก่อนพบลูกค้า (คลิป)
ทั้ง 3 เทคนิคนี้จะช่วยให้นักขายสามารถจัดการกับความกลัวและกังวล กล้าออกไปพบลูกค้าหรือโทรหาลูกค้า ด้วยความมั่นใจ!
ทักษะสำคัญที่นักขายควรมี: การเจรจาต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ (คลิป)
การขายไม่ได้ดำเนินไปตามที่เราคาดหวังเสมอ หลายครั้งเราอาจต้องเผชิญสถานการณ์ที่ต้องประนีประนอมกับลูกค้า โดยเฉพาะเรื่องข้อเสนอ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่นักขายทุกคนควรมีคือ “การเจรจาต่อรอง” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่เราไม่เสียเปรียบจนเกินไป
เมื่อเผชิญข้อเสนอที่เราไม่สามารถตอบรับได้ สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ลูกค้าเห็นว่า ยังมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ แทนที่จะจำกัดตัวเองและลูกค้าไว้กับตัวเลือกเดียว การมีตัวเลือกมากขึ้นช่วยลดความตึงเครียดและความกดดันของลูกค้า
หากเราเจรจาด้วยความยืดหยุ่นและเสนอทางเลือกที่หลากหลาย ลูกค้าจะรู้สึกว่าเรากำลังพยายามช่วยพวกเขาแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างข้อจำกัด วิธีนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจ และเปิดโอกาสให้การเจรจาสำเร็จลุล่วงด้วยดี
Mindset สำคัญ:
การเจรจาต่อรองที่ดีคือการหาจุดร่วมที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ และสร้างความรู้สึกว่าเราเป็นพาร์ทเนอร์ที่พร้อมจะช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
ข้อที่ 2: ทำให้คู่เจรจารู้สึกได้รับการยอมรับ
หนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเจรจาต่อรองคือการทำให้คู่เจรจารู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขามีคุณค่า และได้รับการยอมรับ หากเราเริ่มต้นการเจรจาด้วยการปฏิเสธข้อเสนอของลูกค้าทันที หรือตัดสินว่าความคิดของเขาไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม จะทำให้การเจรจากลายเป็นการโต้เถียง(ดีเบต) แทนที่จะเป็นการหาข้อตกลงร่วมกัน
เมื่อเราปฏิเสธข้อเสนอของลูกค้าหรือทำให้พวกเขารู้สึกว่าเรากำลังพยายามเอาชนะ จะส่งผลดังนี้:
สิ่งที่เราควรทำคือแสดงออกว่าเรา “เข้าใจ” และ “เห็นคุณค่า” ในความคิดเห็นหรือข้อเสนอของลูกค้า แม้ว่าข้อเสนอนั้นอาจไม่ตรงกับที่เราต้องการ แต่การยอมรับว่าเขาคิดมาอย่างดีและมีเหตุผล จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น:
การแสดงออกเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับเขา และเปิดใจกับการประนีประนอมได้ง่ายขึ้น
การเจรจาที่ดีไม่ใช่การเอาชนะ แต่คือการทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าได้รับคุณค่าและเดินหน้าร่วมกันได้อย่างสบายใจ
ข้อที่ 3: แยกประเด็นการตัดสินใจออกจากประเด็นทางเลือก
ในการเจรจาต่อรอง บ่อยครั้งที่แต่ละฝ่ายมี “ธง” หรือเป้าหมายของตัวเองชัดเจน ซึ่งมักทำให้การพูดคุยเต็มไปด้วยความพยายามที่จะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายยอมรับในสิ่งที่เราต้องการ ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าเขาสูญเสียอิสระในการตัดสินใจ และมองว่าเรากำลังบีบให้เขาเลือกตามที่เราวางไว้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ การแยกประเด็นการตัดสินใจออกจากประเด็นทางเลือก เป็นสิ่งสำคัญมาก
การแยกประเด็นการตัดสินใจออกจากประเด็นทางเลือกช่วยให้:
ตัวอย่างการปฏิบัติ:
หากลูกค้าและคุณมีจุดยืนที่ดูเหมือนขัดแย้ง ลองพูดว่า:
“ผมเข้าใจจุดยืนของคุณครับ และผมก็อยากลองเสนอแนวทางใหม่ที่อาจตอบโจทย์ทั้งสองฝ่าย เรามาคุยกันโดยไม่ยึดกับข้อเสนอเดิมของทั้งสองฝ่าย แล้วดูว่าแนวทางอื่นๆ มีอะไรที่เหมาะสมบ้าง”
การเจรจาที่ดีคือการสร้างพื้นที่กลางที่ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันพัฒนาทางออกได้อย่างสร้างสรรค์และเป็นธรรม
ข้อที่ 4: เตรียมทางเลือกสำรองไว้ 3-4 ทาง หากเจรจาแล้วตกลงไม่ได้
เมื่อการเจรจาต่อรองอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การเตรียม ทางเลือกสำรอง (3-4 ทางเลือก) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณยังคงควบคุมสถานการณ์และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าต่อไปได้
สรุป:
การเตรียมทางเลือกสำรองเป็นการแสดงถึงความยืดหยุ่นและมุ่งมั่นในการหาข้อตกลงร่วมกัน แม้ว่าคุณอาจต้องยอมเสียบางสิ่งไปในวันนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความไว้วางใจและโอกาสในการทำธุรกิจระยะยาว ซึ่งเป็นผลดีในภาพรวม
ข้อที่ 5: ยอมถอยวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
การยอมถอยในวันนี้ไม่ได้แปลว่าคุณแพ้ แต่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะยอมถอย คุณต้องพิจารณาว่าลูกค้าคนนี้คุ้มค่าที่จะร่วมงานในระยะยาวหรือไม่
ความสัมพันธ์ที่ดีช่วยลดแรงเสียดทานในการเจรจา และเพิ่มโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้
สรุป:
การยอมถอยในวันนี้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและเปิดโอกาสทางธุรกิจในอนาคต แต่ต้องเลือกอย่างชาญฉลาดว่าลูกค้าคนนี้คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และอย่าลืมว่า ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของการเจรจาที่ประสบความสำเร็จ
มีกล้วย 1 หวี กับเงิน 1 ล้านบาท คุณคิดว่าลิงจะเลือกอะไร?
คำตอบชัดเจนสำหรับหลายคนก็คือ ลิงจะเลือก “กล้วย” แม้ว่าเงิน 1 ล้านบาทจะสามารถซื้อกล้วยได้ทั้งสวนก็ตาม นั่นเป็นเพราะลิงไม่เข้าใจว่าเงินมีคุณค่าในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รวมถึงกล้วย
ในทางเดียวกัน หากเราถามว่า “ระหว่างสุขภาพกับเงิน คุณจะเลือกอะไร?”
หลายคนอาจตอบว่า “สุขภาพ” เพราะรู้ว่าสุขภาพเป็นพื้นฐานของความสุขและคุณภาพชีวิต แต่ในความเป็นจริง กลับพบว่าคนจำนวนไม่น้อยยอมทำงานหนักจนละเลยสุขภาพ เพื่อแลกกับเงิน
ตัวอย่างที่ชัดเจน
เจ้าของสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) หลายคนเลือกที่จะไม่ลงทุนในโปรแกรมบริหารตรอ. เพราะคิดว่าสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งที่โปรแกรมดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประโยชน์และผลลัพธ์ที่ได้
แม้ในช่วงแรกอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้หรือปรับตัว แต่เมื่อระบบทำงานได้อย่างราบรื่น เจ้าของกิจการก็สามารถลดภาระการทำงานเองได้ ปล่อยให้ระบบช่วยจัดการแทน ส่งผลให้มีเวลาและอิสรภาพในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น
ข้อคิดสำคัญ
การลงทุนในระบบที่ช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพ อาจช่วยให้เจ้าของตรอ. ได้มีเวลาออกกำลังกาย พักผ่อน ใส่ใจเรื่องสุขภาพ แต่บ่อยครั้งกลับมองเพียงค่าใช้จ่ายเล็กน้อย มากกว่าประโยชน์ในระยะยาว
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า หลายคนเลือก “เงิน” แทนที่จะเลือก “สุขภาพ” และ “อิสรภาพจากการทำงาน” โดยไม่รู้ว่าบางครั้งการลงทุนเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืนกว่า
139 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม 44130
Tel: 094-952-9562 Line id: 9562opad