บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
การเข้าถึงความคิดของคนเป็นศาสตร์ที่ศึกษามานานและสามารถทำได้จริง เราสามารถเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ได้ลึกซึ้ง หากเรารู้ว่าเราต้องสังเกตอะไร โดยเฉพาะการใช้ทักษะทางจิตวิทยาและการสังเกตภาษากาย (Mentalism) เช่นเดียวกับอาชีพที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนที่ฝึกฝนทักษะเหล่านี้เพื่ออ่านความคิดของผู้อื่นจากสัญญาณเล็กๆ เช่น การแสดงออกทางใบหน้าที่เรียกว่า MicroExpression
ในหนังสือ The Art of Reading Minds ได้กล่าวถึงการฝึกทักษะนี้ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น และเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในการพัฒนาความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจสิ่งที่คนอื่นไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
การใช้ภาษากายและเทคนิคต่างๆ เช่น การเลียนแบบท่าทางของคู่สนทนา (Postural Echo) สามารถช่วยให้การสื่อสารของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทำอย่างเนียนๆ จะทำให้คนอื่นฟังเรามากขึ้น โดยไม่รู้ตัว หรือการปรับจังหวะการพูด การหายใจ และการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับเขา จะทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและไว้ใจเรามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาษากายไม่ใช่เรื่องสากล เพราะแต่ละวัฒนธรรมอาจมีความแตกต่างกัน เช่น บางประเทศอาจมองว่าการสัมผัสตัวไม่เหมาะสม ดังนั้นเราควรสังเกตและเคารพวัฒนธรรมของแต่ละบุคคลเพื่อการสื่อสารที่ดีและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
ความชอบของเรา อาจไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า เราต้องนำเสนอในแบบที่ลูกค้าสนใจ
ในโลกโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์มากมาย การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและโดดเด่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ชมได้รับประโยชน์จริง ๆ และรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากรับชม การออกแบบคอนเทนต์ที่ดีต้องมีผลกระทบชัดเจนต่อผู้ชม และต้องทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นหลังจากสัมผัสกับมัน
การเข้าใจจิตวิทยาการตลาดช่วยให้เราทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การสร้างประสบการณ์ที่ดีในช่วงเวลารอ หรือการตั้งราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ การสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าผ่านการปรากฏตัวบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์
การปรับกลยุทธ์ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความชอบของผู้ประกอบการอาจไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การทดสอบและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
การสร้างคอนเทนต์ในยุคนี้ต้องมีความเฉพาะเจาะจงและดึงดูดความสนใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ชมมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง คอนเทนต์ที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างกันจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่าคอนเทนต์ทั่วไป การสร้างฐานแฟนที่เหนียวแน่นและการมี Engagement ที่ดีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้ชม
เทคโนโลยีและ AI ช่วยในการสร้างคอนเทนต์ แต่ผู้สร้างต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้คอนเทนต์มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ชมอย่างแท้จริง การเข้าใจผู้ชมทำให้คอนเทนต์มีมิติและคุณภาพที่ตรงกับความต้องการ
จิตวิทยาเร้าอารมณ์: กลยุทธ์ดูดเงินจากลูกค้า
มนุษย์จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากกว่าการใช้เหตุผล และนี่คือ 3 อารมณ์หลักที่มีผลต่อการซื้อ:
ความอยาก
ตัวอย่างเช่น iPhone ที่ออกใหม่ทุกปี ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจทำให้คนอยากซื้อ เพราะมันกระตุ้นความอยากให้มีสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ความโลภ
โปรโมชั่นลดราคา หรือของแถมต่าง ๆ มักทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ความคุ้มค่ามากขึ้น ยิ่งได้มากยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป การกระตุ้นแบบนี้ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
ความภาคภูมิใจ
การซื้อสินค้าจากแบรนด์เนม เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมที่มีราคาแพงกว่า กระเป๋าทั่วไป จะทำให้ลูกค้ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง เพราะการมีของแบรนด์เนมมักเกี่ยวข้องกับการยอมรับและสถานะทางสังคม
ทั้งหมดนี้คือหลักจิตวิทยาที่นักการตลาดใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์และการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
3 จิตวิทยาที่คุณต้องรู้ก่อนทำธุรกิจ
สร้างสินค้าที่ยอดเยี่ยม
หากคุณลงทุนทั้งเงินและความคิดในการสร้างสินค้าที่มีคุณภาพและมีความโดดเด่น คุณจะไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณา เพราะสินค้าที่ดีจะดึงดูดลูกค้าโดยอัตโนมัติ
ลูกค้ากำลังซื้อความสัมพันธ์และประสบการณ์
ลูกค้าไม่ได้แค่ซื้อสินค้า หรือบริการ แต่พวกเขากำลังซื้อความสัมพันธ์ สตอรี่ และประสบการณ์ที่น่าจดจำ การสร้างความประทับใจและเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ
ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่ตรงใจ
อย่าพยายามหาลูกค้ามาซื้อสินค้าที่คุณมี แต่ควรมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาของลูกค้าที่คุณต้องการให้บริการ การเข้าใจความต้องการของลูกค้าจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน
คัมภีร์สอนการขาย
14 เทคนิคทางจิตวิทยาในการกระตุ้นยอดขาย
สรุป
เทคนิคเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เทคนิคใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าหรือบริการที่คุณ รวมถึงความเข้าใจในลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ การรู้จักลูกค้าของตัวเองและใช้คำที่เข้าใจง่าย สื่อสารตรงกับความต้องการของพวกเขาจะช่วยผลักดันยอดขายได้อย่างยั่งยืน.
กลยุทธ์ที่ 1: อย่าหาเหตุผลหรือใช้เหตุผลเพื่อเอาชนะลูกค้า
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พนักงานขายมักทำคือการพยายามเอาชนะลูกค้าโดยการยืนยันความถูกต้องของตนเองเกี่ยวกับสินค้า ซึ่งการกระทำเช่นนี้มักส่งผลให้เกิดข้อโต้แย้ง ลูกค้าจะรู้สึกไม่พอใจและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของเรา ส่งผลให้การขายล้มเหลว
เช่น การขายประกันชีวิต ลูกค้าบางคนมองว่าไม่จำเป็น พนักงานขายพยายามชี้ให้เห็นว่าประกันชีวิตสำคัญด้วยเหตุผลต่าง ๆ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกำลังถูกกดดัน ถูกยัดเยียดและเมื่อลูกค้ารู้สึกว่า ถูกบังคับ เขาจะตั้งกำแพงป้องกันตัวเองทันที
แนวทางที่ถูกต้องคือ ยอมรับมุมมองของลูกค้า เช่น หากลูกค้าบอกว่า “ประกันชีวิตไม่จำเป็น” พนักงานขายควรตอบว่า “ผมเข้าใจ หลายคนก็คิดแบบนั้น ผมเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ผมอยากทราบเหตุผลจากลูกค้าครับ ว่าทำไมถึงมองว่าไม่จำเป็น ช่วยแชร์ไอเดียหน่อยครับ” วิธีนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณรับฟังและเคารพความคิดเห็นของเขา และเมื่อได้รับความไว้วางใจ ลูกค้าจะเปิดใจพูดคุยและอธิบายมากขึ้น
กลยุทธ์ที่ 2: ค้นหา Pain Point ของลูกค้า
การหาให้เจอว่าปัญหาหรือความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าคืออะไร วิธีการคือการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความคิดของลูกค้า อย่าทำตัวเหมือนเป็นคู่แข่ง แต่ให้เป็นผู้ร่วมทาง เมื่อพบว่าลูกค้าบอกว่า “ประกันชีวิตยังไม่จำเป็นสำหรับผมตอนนี้” แทนที่จะโต้แย้งว่า “ไม่จริง ประกันชีวิตจำเป็นนะ” พนักงานขายควรถามต่อว่า “อ๋อ คิดเหมือนผมเลยครับ ผมเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน พอจะช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ว่าเพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น” วิธีนี้จะทำให้ลูกค้าเปิดใจเล่าให้ฟังมากขึ้น และเมื่อเรารู้ถึง Pain Point ของเขา เราจะสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงจุด เช่น ถ้าลูกค้าบอกว่า “ตอนนี้ต้องเก็บเงินไว้เผื่อค่าการศึกษาลูก” เราอาจจะชวนคุยต่อว่า “ใช่เลยครับ เรื่องการศึกษาสำคัญมาก ผมก็วางแผนการศึกษาของลูกไว้เหมือนกันครับ ผมเลยมองหาวิธีที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น การศึกษาของลูกจะได้ไม่สะดุด”
กลยุทธ์ที่ 3: สร้างเหตุผลให้ลูกค้าเห็นถึงความจำเป็นของสินค้า
นักขายควรเปลี่ยนมุมมองจากการ “ขายเพื่อปิดการขาย” เป็น “ขายเพื่อให้ข้อมูล” โดยไม่จำเป็นต้องพยายามบังคับให้ลูกค้าตัดสินใจทันที แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่เพียงพอเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเอง
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “คุณควรซื้อประกันชีวิตเพราะมันสำคัญ” ให้เปลี่ยนเป็น “ผมขอแชร์ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับประกันชีวิตนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราในอนาคต เงินก้อนนี้จะช่วยดูแลครอบครัวได้” จากนั้นจึงอธิบายข้อดีและข้อเสียของการมีหรือไม่มีประกันชีวิต ลูกค้าจะรู้สึกว่าพวกเขาได้รับข้อมูลที่เพียงพอและสามารถตัดสินใจได้เอง
สิ่งสำคัญคือ นักขายต้องเข้าใจว่าลูกค้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา เงินในกระเป๋าของเขามีจำกัด เขาลำดับความสำคัญของการใช้เงินต่างจากเรา ดังนั้น หน้าที่ของนักขายคือการชี้ให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ไม่ใช่บังคับให้ซื้อสินค้า
เคล็ดลับเพิ่มเติม
บทสรุป
กลยุทธ์ทั้ง 3 ข้อจะช่วยให้นักขายเข้าใจและเข้าถึงใจลูกค้าได้มากขึ้น ได้แก่
การทำตามกลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มอัตราการปิดการขายได้สูงขึ้น นักขายอาจไม่สามารถปิดการขายได้ 100% แต่จะมีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น และที่สำคัญคือ ลูกค้าจะรู้สึกไว้วางใจและยินดีพูดคุยกับเรามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว
หากคุณเข้าใจรับรองได้เลยว่าคุณจะสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น
การรู้จักลูกค้าไม่ได้หมายถึงแค่รู้บุคลิกลักษณะ หรือพฤติกรรมของลูกค้าเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการเข้าใจ “เกณฑ์ที่วัดว่าใครคือกลุ่มลูกค้าของคุณ” เช่น
เหตุผลที่ต้องใส่ใจกับเกณฑ์เหล่านี้ เพราะหากคุณพยายามเสนอขายให้กับคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย คุณจะเสียทั้งเวลาและพลังงาน เช่น ลูกค้าที่ดูมีแนวโน้มซื้อ แต่สุดท้ายไม่ซื้อ หรืออาจต่อรองราคามากจนเกินไป ดังนั้น กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณขายได้ตรงจุด และปิดการขายได้ง่ายขึ้น
แม้คุณจะคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายมาอย่างดีแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้การปิดการขายสำเร็จมักเป็น “อารมณ์” มากกว่าเหตุผล ดังนั้น คุณต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า
อารมณ์ในการตัดสินใจเหล่านี้มีความแตกต่าง คุณจึงต้องนำเสนอสินค้าให้สอดคล้องกับอารมณ์ที่ลูกค้ากำลังมี เช่น หากเขาซื้อเพื่อแก้ปัญหา คุณต้องชี้ให้เห็นว่าสินค้าของคุณตอบโจทย์นั้นได้อย่างไร แต่หากเขาซื้อเพื่อเสริมชีวิต คุณควรเน้นที่ประโยชน์ในมุมบวก เพื่อกระตุ้นความอยากซื้อ
ความจริงใจคือหัวใจสำคัญของการขาย การอวดอ้างคุณสมบัติของสินค้ามากเกินไปอาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อใจ แต่ถ้าคุณยอมรับและอธิบายจุดอ่อนของสินค้าอย่างตรงไปตรงมา ลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจ และเชื่อมั่นในตัวคุณมากขึ้น เช่น หากสินค้ามีข้อจำกัดบางอย่าง คุณสามารถพูดคุยกับลูกค้าอย่างเปิดเผย พร้อมเสนอวิธีแก้ไขหรือชดเชยจุดอ่อนเหล่านั้น สิ่งนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
เทคนิคเหล่านี้ จะช่วยเรื่องการปิดการขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระยะยาวกับลูกค้า
การขายเริ่มต้นจากการวิเคราะห์และประเมินกลุ่มเป้าหมาย เพื่อระบุว่าใครมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้า และใครที่มีโอกาสปิดการขายได้มากที่สุด ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้ความเข้าใจและการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน
ลูกค้าในขั้นแรกเรียกว่า Lead ซึ่งแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก:
กระบวนการขายต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง โดยเริ่มจากสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ค่อยๆ สื่อสารและเพิ่มความสนใจ จนกว่าลูกค้าจะอยู่ในจุดที่พร้อมตัดสินใจซื้อ
กระบวนการ Prospecting คือการประเมินว่าลูกค้ารายนั้นเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งต้องคำนึงถึงสองปัจจัยหลัก:
หัวใจสำคัญคือการทำให้ลูกค้าเริ่มสนใจในสิ่งที่เรานำเสนอ วิธีที่ใช้ได้ผล ได้แก่:
กระบวนการขายต้องมีการติดตามและวัดผลในแต่ละขั้นตอน เช่น
การขายที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคัดกรองที่แม่นยำ สร้างความสนใจอย่างมีขั้นตอน และบ่มเพาะความสัมพันธ์จนถึงจุดที่ลูกค้าพร้อมซื้อ สุดท้ายคือการติดตามผลและปรับปรุงกระบวนการให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละ
เทคนิคการนำเสนอความคุ้มค่าเพื่อปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพ (คลิป)
ในการขายสินค้า โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่ง เราควรเน้นนำเสนอจุดเด่นและความแตกต่างที่เป็นจุดแข็งของสินค้า เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเลือกซื้อสินค้าจากเราแล้วคุ้มค่ามากที่สุด
5 ขั้นตอนสำคัญในการสร้างความคุ้มค่าให้ลูกค้า
ลูกค้าต้องเข้าใจได้ทันทีว่าสินค้าของเราคุ้มค่าในแง่ใด เช่น
ตัวอย่าง:
การใช้โปรแกรมจะช่วยลดค่าใช้จ่ายโดย ลดจำนวนพนักงาน ลดเวลา สามารถเริ่มงานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาอบรม หากเปรียบเทียบกับการทำงานแบบเดิม เช่น การใช้โปรแกรมจะประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าการเขียนใบเสร็จด้วยมือ
เมื่อลูกค้าต้องการเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น เราต้องช่วยเขาเห็นภาพความคุ้มค่า โดยสรุปข้อดีของสินค้าของเราเทียบกับคู่แข่งให้กระชับและเข้าใจง่าย เช่น
เคล็ดลับ:
ลูกค้ามักเหนื่อยกับการฟังข้อมูลจากหลายแหล่ง เราจึงควรสรุปให้ชัดเจนและตรงประเด็น
บอกเล่าถึงที่มา กระบวนการพัฒนา และคุณภาพของสินค้า เช่น
การให้ข้อมูลเชิงลึกช่วยให้ลูกค้าเข้าใจและมั่นใจในตัวสินค้า
การแสดงข้อมูลในรูปตัวเลขช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจน เช่น
ข้อดี: ลูกค้าสามารถนำข้อมูลตัวเลขไปเปรียบเทียบกับราคาหรือคุณภาพได้ง่ายขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
บางครั้งลูกค้าอาจทดสอบความจริงใจของเรา เช่น ถามว่ามีสินค้าอื่นที่คุ้มค่ากว่านี้มีไหม หากมี เราสามารถบอกลูกค้าได้ตรงไปตรงมาว่า
ข้อดี: วิธีนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ทำให้เขาเห็นว่าสินค้าของเราตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและงบประมาณ
สรุป
การปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงความคุ้มค่าที่ชัดเจน ใช้ข้อมูลเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และตอบคำถามหรือข้อกังวลของลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา หากเราสื่อสารได้ดีและครบถ้วนใน 5 ขั้นตอนนี้ โอกาสในการปิดการขายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
139 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม 44130
Tel: 094-952-9562 Line id: 9562opad