รวมคลิปคุณ จิดาภา เซเลสตร้า (โค้ชดวง) ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารและการขายแบบที่ปรึกษา

1. พนักงานขายมือใหม่ชวนลูกค้าคุยยังไงให้ไหลลื่น!?

2. ขายเก่งตลอดปีและตลอดไปด้วยทักษะ 3E (ฝึกง่ายใช้ได้จริง)

3.  5 ขั้นตอน Prospecting หาลูกค้าใหม่สไตล์ B2B ง่ายนิดเดียว

4. สาเหตุที่่แท้จริงทำไมถึงห้ามบอกราคาลูกค้าในช่วงต้นของการสนทนา

5. วิธีเปิดใจลูกค้าฉบับคนไม่ชอบพูดมาก

6. ปิดการขายง่ายๆด้วยการนำเสนอ 3 ขั้นตอนนี้(ไม่ให้รู้สึกว่าพูดมาก)  

7. ท้อเหนื่อยกับงานขายต้องทำสิ่งนี้(ฺBig Why) 

8. โทรหาลูกค้ายังไงไม่ให้โดนวางหูใส่ เทคนิคการโทรหาลูกค้า(เทคนิคไม่)

9. ขายไม่เป็นก็เก่งได้ด้วย 3 ขั้นตอนนี้    สรุปดูด้านล่าง

10.  3 เทคนิคทีเด็ดที่ช่วยให้ปิดการขายได้มากขึ้นทันที(เทคนิคตอบคำถามด้วยคำถาม)    สรุปดูด้านล่าง

11. Empathy ในงานขายทำไมถึงสำคัญและจะพัฒนายัง   

12. มัดใจลูกค้าด้วยทักษะการแก้ปัญหาขั้นเทพ (Six Sigma Methodology for sales) (ยาว 1 ชม.)

13. รู้เทรนด์ก่อนใครได้ใจลูกค้าไปครองฉบับงานขาย Business trends 2022 for B2B sales 1 ชม.

14. ROI คืออะไร คิดยังไง ทำไมถึงจำเป็นต้องรู้และมีประโยชน์ยังไงในการขาย

15. EP14: อยากเป็นTopsalesต้องฟังเพราะขายเก่งไม่ใช่คนที่พูดเก่ง เป็นเซลล์พูดไม่เก่งแต่ต้องมีทักษะนี้!!

16.คำพูดที่ควรเลี่ยง​ ถ้าไม่อยากให้ลูกค้าต่อราคา

ขายให้เป็นขายให้เก่งได้ด้วย 3 ขั้นตอน

เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณขายเก่งขึ้น 10 เท่า ช่วยให้คุณพูดอะไรแล้วดูน่าฟัง น่าเชื่อถือ และ เขาจะรู้สึกว่าสินค้าของคุณน่าซื้อกว่าใคร มี 3 ขั้นตอนง่ายๆ คุณสามารถทำตามได้ทันที:

ขั้นตอนที่ 1: เริ่มต้นด้วยการพูดถึงปัญหาของลูกค้า
ทำความเข้าใจก่อนว่าลูกค้ากำลังเผชิญปัญหาอะไร และเริ่มจากการพูดถึงปัญหานั้นๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจเขาอย่างแท้จริง

ขั้นตอนที่ 2: บอกแนวทางการแก้ปัญหา
หลังจากพูดถึงปัญหาของลูกค้าแล้ว ต่อไปคือลำดับการพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่เรามีให้ลูกค้า ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันของสินค้าจะช่วยลูกค้าได้อย่างไร

ขั้นตอนที่ 3: บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
เมื่อคุณได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหาแล้ว อย่าลืมย้ำถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าของเรา ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น

ทำไม 3 ขั้นตอนนี้ถึงมีประโยชน์?
ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณคิดและพูดอย่างมีลำดับ ซึ่งทำให้การโน้มน้าวใจลูกค้าสามารถทำได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณพูดถึงปัญหาของลูกค้าก่อน ลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณเข้าใจพวกเขา การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจะทำให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดเจน และการเน้นถึงประโยชน์จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ตัวอย่างการใช้เทคนิค:
หากคุณขายโปรแกรม CRM และลูกค้าของคุณมีปัญหาคือไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าพนักงานขายไปหาลูกค้าจริงไหม แนวทางการแก้ปัญหาคือโปรแกรม CRM สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขาย เช่น การเช็คอินหรือการปักหมุดลูกค้าในแผนที่ ประโยชน์คือช่วยให้ผู้บริหารมั่นใจได้ว่า พนักงานขายได้ออกไปพบลูกค้าจริงๆ

เคล็ดลับเพิ่มเติม:
หากลูกค้าดูเป็นคนใจร้อน หรืออยากรู้ประโยชน์ก่อน คุณสามารถพูดถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับก่อนเลย แล้วค่อยพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาทีหลัง

การใช้ 3 ขั้นตอนนี้ จะช่วยให้คุณพัฒนาเทคนิคการขายและการนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะพูดอะไร พูดอย่างไร หากคุณทำตามลำดับที่ถูกต้อง

สรุป:

  1. พูดถึงปัญหาของลูกค้า
  2. อธิบายแนวทางการแก้ปัญหาที่คุณมี
  3. เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

การใช้เทคนิคนี้ช่วยให้การพูดหรือการนำเสนอเป็นเรื่องง่ายขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้กับทุกการขายหรือการนำเสนอไอเดีย!

What , So What และ Now What

จากเทคนิคการปิดการขาย 3 ขั้นตอนที่ได้กล่าวไปแล้ว ต่อไปจะเป็นอีก 3 เทคนิคที่จะช่วยให้เรานำเสนอสินค้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดถึงปัญหาของลูกค้าอีกครั้ง เพราะเราได้สร้างความเชื่อใจกับลูกค้าแล้ว และเข้าใจปัญหาของลูกค้าเป็นอย่างดี

ขั้นตอนที่ 1: What
ขั้นตอนแรกคือการอธิบายว่า “เรากำลังขายอะไร” นั่นคือการพูดถึงสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนอ แต่ไม่ควรเน้นแค่การบอกคุณสมบัติหรือฟีเจอร์ต่างๆ เพราะมันจะทำให้เราดูเหมือนพนักงานขายที่พูดมากเกินไป เทคนิคคือการให้ลูกค้ารู้ว่าเรากำลังเสนออะไรในลักษณะที่ตรงไปตรงมาและง่ายต่อการเข้าใจ

ขั้นตอนที่ 2: So What
ขั้นตอนที่สองคือการอธิบายว่า “มันสำคัญยังไงกับลูกค้า” หรือ “มันเกี่ยวกับลูกค้าอย่างไร” ในส่วนนี้เราจะอธิบายถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือบริการของเรา เมื่อพูดถึงฟีเจอร์หรือฟังก์ชันต่างๆ ควรเชื่อมโยงให้ลูกค้าเห็นภาพว่า ฟีเจอร์เหล่านั้นจะช่วยแก้ปัญหาหรือทำให้ชีวิตของลูกค้าสะดวกสบายขึ้นอย่างไร

ขั้นตอนที่ 3: Now What
ขั้นตอนสุดท้ายคือ “แล้วต่อไปจะทำอย่างไร” หรือ “ขั้นตอนถัดไปคืออะไร” ในส่วนนี้เราต้องบอกลูกค้าถึงขั้นตอนต่อไปที่เขาต้องทำ เช่น การนัดหมายการสาธิตสินค้า การทดลองใช้งาน 30 วัน หรือการลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้บริการ เมื่อเราให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนถัดไป ลูกค้าจะรู้ว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อเดินหน้าต่อไป

ตัวอย่างการใช้ 3 ขั้นตอนนี้
สมมุติว่าเรากำลังขายระบบ CRM:

  • What: “ระบบ CRM ของเราช่วยให้คุณติดตามการขายของพนักงานได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถเช็คอินกับลูกค้าได้ในระบบ”
  • So What: “การติดตามนี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าพนักงานขายของคุณได้พบลูกค้าจริงๆ และใช้เวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”
  • Now What: “หากคุณสนใจ คุณสามารถลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้งานระบบของเราได้ทันที และเราจะติดต่อคุณเพื่อสาธิตการใช้งานระบบ”

ประโยชน์ของการใช้ 3 ขั้นตอนนี้
การใช้เทคนิค “What, So What, Now What” จะช่วยให้การนำเสนอของเรามีความชัดเจนและน่าสนใจมากขึ้น ลูกค้าจะรู้สึกว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงๆ เมื่อเราทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ เราจะไม่เป็นแค่พนักงานขายที่พูดแค่คุณสมบัติของสินค้า แต่เราจะกลายเป็นผู้แนะนำที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากสินค้าและบริการของเราได้อย่างชัดเจน

สรุป:
การใช้เทคนิค “What, So What, Now What” จะช่วยให้การนำเสนอสินค้าของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการตัดสินใจซื้อสินค้าของเรานั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะเราเชื่อมโยงสินค้าและบริการของเราเข้ากับปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

เทคนิคการขาย Sell Me This Pen | Dev Sethi (คลิป)

เทคนิคการขายปากกาแบบมืออาชีพ

นักขายหลายคนมักพยายามอธิบายคุณสมบัติของสินค้ามากมาย แต่แท้จริงแล้ว วิธีนี้ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะมันอาจทำให้คุณดูเหมือนกำลังขอร้องให้ลูกค้าซื้อสินค้า ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ของนักขายทั่วไปที่ขาดความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ลูกค้าอาจใช้วิธีต่อรองราคาหรือมองว่าสินค้าของคุณไม่มีคุณค่า ผลลัพธ์คือคุณอาจปิดการขายไม่ได้ แทนที่จะขายตรงๆ ลองใช้เทคนิคนี้:

  1. การใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม
    ใช้น้ำเสียงที่มีความมั่นใจ ไม่สูงเกินไป ให้ฟังดูนิ่งและน่าเชื่อถือ
    ตัวอย่าง
    เมื่อมีคนบอกให้คุณขายปากกาให้เขา คุณอาจตอบว่า:
    “โอเคครับ คุณอยากให้ผมขายปากกานี้ให้คุณ แต่ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าคุณต้องการปากกานี้จริงๆ หรือเปล่า เพราะปากการะดับนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่า ทำไมคุณถึงอยากให้ผมขายปากกานี้ให้คุณ? เพื่อที่ผมจะได้พิจารณาว่าปากกานี้เหมาะกับคุณหรือไม่ครับ”
    หลักการ:
    การพูดแบบนี้ช่วยสร้างความสงสัยและความสนใจในตัวสินค้า ลูกค้าจะเริ่มคิดว่า “ปากกานี้เหมาะกับฉันหรือเปล่า?” และทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าในตัวสินค้าโดยอัตโนมัติ
  2. การสร้าง High Position
    เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ขาย” เป็น “ผู้ที่เลือกว่าจะขายหรือไม่” สร้างความรู้สึกว่าคุณมีสิทธิ์ตัดสินใจ สิ่งนี้เพิ่มคุณค่าและความพรีเมียมให้กับสินค้าของคุณ
    เทคนิคเสริม:
    • ถือปากกาอย่างทะนุถนอม แสดงความใส่ใจในสินค้า
    • ใช้สายตาสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ว่าปากกานี้มีความสำคัญและมีมูลค่า
  3. การเลือกคำพูด
    เลือกใช้คำพูดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า เช่น
    “ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเหมาะกับปากกานี้หรือเปล่า”
    การพูดเช่นนี้ไม่ใช่การดูถูกลูกค้า แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสินค้าของคุณมีระดับ และคุณต้องการให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา

ผลลัพธ์ที่ได้
ลูกค้าจะมองว่าคุณเป็นนักขายที่มีความมั่นใจ สินค้าของคุณดูมีคุณค่าและน่าซื้อมากยิ่งขึ้น เทคนิคนี้ช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น และยังเพิ่มความประทับใจในตัวคุณอีกด้วย

เทคนิคการขายด้วยการใช้เรื่องเล่า (Storytelling)

เทคนิคนี้เน้นการปรับมุมมองของลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อต้องการปิดการขายสินค้าระดับพรีเมียม เช่น ปากกา วิธีการคือสร้างเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่าและความสำคัญของสินค้าผ่านสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขา

ตัวอย่าง
เมื่อมีคนบอกให้คุณขายปากกาให้เขา คุณอาจตอบว่า:

“ปากกานี้เหรอครับ? ได้เลยครับ แต่ก่อนที่ผมจะขายปากกานี้ให้คุณ ขอถามนิดนึงนะครับ ปกติคุณใช้ปากกาเพื่อเซ็นเอกสารประเภทไหนครับ? เป็นสัญญาโครงการราคาถูก หรือเป็นสัญญาระดับมูลค่าหลายล้าน?”

จากนั้นอธิบายต่อ:

“ผมสังเกตว่าคุณทำโครงการใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าสูง การใช้ปากการาคาถูกเซ็นสัญญาอาจไม่สื่อถึงความเป็นมืออาชีพหรือความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร แต่ปากกาพรีเมียมแบบนี้ เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่สำคัญอย่างการเซ็นเอกสารโครงการสำคัญๆ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ปากกา แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ ความมีอำนาจ และความน่าเชื่อถือของคุณด้วย ลูกค้าหรือคู่สัญญาจะมองว่าคุณเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดและให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ทำ”

แนวคิดเบื้องหลัง

  1. เปลี่ยนมุมมองของลูกค้า:
    การเล่าเรื่องช่วยให้ลูกค้าตระหนักว่าสินค้าของคุณไม่ได้เป็นแค่ “ของใช้” แต่เป็นเครื่องมือที่เสริมภาพลักษณ์และคุณค่าในสถานการณ์สำคัญ
  2. สร้างคุณค่าให้สินค้า:
    ปากกาไม่ใช่แค่ปากกา แต่คือ “ตัวแทน” ของความสำเร็จ ความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจในสายตาของคู่ค้า
  3. กระตุ้นความรู้สึก:
    การเล่าเรื่องที่สอดคล้องกับประสบการณ์หรือความปรารถนาของลูกค้า ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่า “สินค้านี้เหมาะกับฉัน”

ผลลัพธ์จากการเล่าเรื่อง
เมื่อเราใช้เรื่องเล่า ลูกค้าจะมองสินค้าของเราในมุมใหม่ พวกเขาจะเข้าใจว่าทำไมสินค้าพรีเมียมจึงมีคุณค่า และรู้สึกว่าซื้อในสินค้านี้ไม่ใช่แค่การซื้อ แต่เป็นการยกระดับภาพลักษณ์และชีวิตของตัวเอง

เทคนิคนี้ไม่ได้เป็นแค่การขายสินค้า แต่ยังเป็นการสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในตัวผู้ขายอีกด้วย!

คุณเห็นแก่ตัวมากเลย ถ้าคุณขายไม่เป็น(คลิป)

การขายคือการช่วยเหลือ: เปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

ถ้าคุณคิดว่าตัวเองขายไม่เป็น อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพราะการขายไม่ได้เป็นเรื่องของการ “ยัดเยียด” หรือ “เอาเปรียบ” แต่เป็น กระบวนการช่วยเหลือผู้อื่น การขายคือการช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการมอบสิ่งที่ตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการของพวกเขา

การขายอย่างแท้จริงคืออะไร?

  1. แสดงให้เขาเห็นว่าคุณช่วยอะไรได้
    คุณต้องทำให้ชัดเจนว่าคุณสามารถช่วยเขาแก้ปัญหาหรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้อย่างไร
  2. ผลลัพธ์ที่จับต้องได้
    คนจะยอมรับและให้คุณค่าก็ต่อเมื่อเขาเห็นผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์จากสิ่งที่คุณมอบให้
  3. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
    เมื่อเขาเห็นว่าคุณช่วยได้จริง เขาจะรู้สึกขอบคุณและตอบแทนคุณในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นหรือการสนับสนุนในอนาคต

การแบ่งปันความรู้: สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ

  • หากคุณมี ความรู้หรือความสามารถ ที่สามารถช่วยคนอื่นได้ การเก็บไว้กับตัวโดยไม่แบ่งปันอาจถือเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เพราะคุณกำลังพลาดโอกาสที่จะสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น
  • อย่างไรก็ตาม การนำความรู้ไปแบ่งปันโดยไม่มีการแสดงให้เห็นถึง คุณค่าที่ผู้อื่นจะได้รับ อาจทำให้คนมองว่าคุณกำลังยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

เทคนิคการแชร์อย่างได้ผล

  • เริ่มต้นด้วยปัญหาของเขา
    อย่าพูดถึงสิ่งที่คุณอยากบอก แต่ให้เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจปัญหาของเขา และแสดงให้เขาเห็นว่าความรู้หรือสิ่งที่คุณมีสามารถช่วยแก้ปัญหานั้นได้
  • แสดงผลลัพธ์
    อธิบายอย่างชัดเจนว่าความรู้นี้จะช่วยให้เขาได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างไร เช่น การลดต้นทุน เพิ่มรายได้ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  • ให้เขาเห็นคุณค่าด้วยตัวเอง
    เมื่อเขาเข้าใจว่าคุณกำลังช่วยเขา และเห็นผลลัพธ์จากสิ่งที่คุณมอบให้ เขาจะยินดีที่จะฟังและเรียนรู้จากคุณ

สรุป

การขายและการแบ่งปันความรู้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการ “เสนอสิ่งที่เรามี” แต่เป็นการ ตอบโจทย์สิ่งที่คนอื่นต้องการ ถ้าคุณสามารถช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้น และแสดงให้เขาเห็นว่าคุณค่าที่คุณนำเสนอคือคำตอบของปัญหาของเขา ความสัมพันธ์ที่ดีและการยอมรับจะตามมาโดยธรรมชาติ

ารขายไม่เป็นเพียงการนำเสนอสินค้าเพื่อผลตอบแทน แต่เป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาและนำเสนอผลลัพธ์ที่ต้องการได้ เมื่อพวกเขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรามอบให้ ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้น และพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณเรา หากคุณมีความรู้ที่มีคุณค่า แต่ไม่แบ่งปันหรือสอนผู้อื่น ถือว่าเป็นการเก็บสิ่งดี ๆ ไว้เพื่อตนเอง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือต่อสังคม การนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเสนอความรู้โดยตรงอาจทำให้ผู้อื่นไม่สนใจหรือปฏิเสธ ดังนั้น ควรใช้เทคนิคการนำเสนอที่แสดงให้เห็นว่าความรู้นั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ เมื่อพวกเขาเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน ก็จะเปิดใจรับฟังและเรียนรู้จากเรา

สรุป การขายเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตดีขึ้นผ่านสิ่งที่เรามอบให้ เมื่อพวกเขาได้รับประโยชน์ ความสัมพันธ์และความขอบคุณจะเกิดขึ้น หากเก็บความรู้ไว้กับตัวเอง จะไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น การนำเสนอควรแสดงให้เห็นว่าความรู้นั้นช่วยแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ผู้รับ เห็นคุณค่าและเปิดใจรับฟัง

เรื่องราวของขอทานชาวอเมริกัน: บทเรียนจากการตลาดและพฤติกรรมมนุษย์(คลิป)

มีขอทานชาวอเมริกันคนหนึ่งนั่งอยู่บนทางเท้า โดยมีชามวางเรียงกัน 9 ใบ แต่ละใบมีป้ายชื่อกำกับ เช่น ศาสนาพุทธ, ศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาฮินดู, ไม่สนใจเรื่องศาสนา และอื่น ๆ ข้าง ๆ ชามเหล่านี้ มีป้ายใหญ่ที่เขียนว่า “ศาสนาใดเห็นใจคนไร้บ้านมากที่สุด”

กลยุทธ์ของขอทาน

ขอทานคนนี้ไม่ได้เพียงแค่ขอความช่วยเหลือ แต่ใช้ กลยุทธ์โฆษณา และ เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม อย่างชาญฉลาด โดยเขาไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าเขาต้องการอะไร แต่กระตุ้นให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาคิดตามว่า “ศาสนาของคุณจะช่วยแสดงถึงความมีน้ำใจได้อย่างไร”

แทนที่จะเป็นการขอเงินแบบตรงไปตรงมา ขอทานคนนี้ตั้งคำถามที่กระตุ้นความรู้สึกเห็นใจ และกระตุ้นให้ผู้คนลงคะแนนเสียงผ่านการบริจาคเงินลงในชามของศาสนาที่ตัวเองนับถือ ผลที่ตามมาคือผู้คนมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนศาสนาของตัวเองเพื่อแสดงความภาคภูมิใจในศาสนา และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อศาสนาในสายตาคนอื่น

การวิเคราะห์พฤติกรรม

  1. ใครคือกลุ่มเป้าหมาย?
    ในบริบทของสหรัฐอเมริกา คนที่เคร่งศาสนามักมีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจ และอยากปกป้องชื่อเสียงของศาสนาตัวเอง

  2. ทำไมพวกเขาถึงบริจาค?
    คนที่เลือกนับถือศาสนาเอง (ไม่ใช่ศาสนาที่ติดตัวมาแต่เกิด) มีแนวโน้มบริจาคมากกว่า เพราะพวกเขาภาคภูมิใจในศาสนาที่เลือกเอง และอยากให้ศาสนานั้นได้รับการยอมรับในทางบวก ส่วนคนที่นับถือศาสนาโดยอัตโนมัติตั้งแต่เกิด กลับบริจาคน้อยกว่า เพราะพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเพิ่มเติม

  3. ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
    ชามของศาสนาที่ผู้คนเลือกเองมักมีเงินบริจาคมากที่สุด ในขณะที่ชามของศาสนาหลักที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนับถือกลับมีเงินน้อย บางวันอาจแทบไม่มีเงินเลย เพราะผู้คนรู้สึกว่าศาสนาหลักได้รับการยอมรับอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรเพิ่มเติม

บทเรียนจากกลยุทธ์ของขอทาน

  1. การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
    ขอทานคนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เขาต้องการอะไร และ ต้องการสิ่งนั้นจากใคร เขารู้ว่าในสังคมที่มีคนเคร่งศาสนา การกระตุ้นให้พวกเขาพิสูจน์ความเมตตาผ่านศาสนาของตัวเองเป็นสิ่งที่ทรงพลัง

  2. การสื่อสารที่โดนใจ
    การสื่อสารที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การพูดสิ่งที่เราต้องการ แต่คือการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการได้ยิน และกระตุ้นให้พวกเขาลงมือทำ

  3. บทเรียนสำหรับธุรกิจ
    หลายครั้ง แคมเปญโฆษณามักเน้นสิ่งที่แบรนด์อยากบอก เช่น “สินค้าของเราถูกกว่า” หรือ “เรามีคุณภาพดีกว่าคู่แข่ง” แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า ลูกค้าต้องการอะไร หากคุณขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความสวยงาม เช่น เสื้อผ้า คุณไม่จำเป็นต้องลดราคาแข่งกับคู่แข่งเสมอไป เพราะลูกค้าอาจไม่ได้สนใจแค่เรื่องราคา แต่สนใจว่าจะใส่แล้วดูดีหรือไม่ การสื่อสารที่ดีต้องเน้นสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่า เช่น “เสื้อผ้าที่ทำให้คุณโดดเด่นในทุกสายตา”

สรุป

ขอทานชาวอเมริกันคนนี้แสดงให้เห็นว่า การเข้าใจจิตวิทยาของผู้คน และ การสร้างแรงจูงใจที่ตรงจุด สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นขอทานหรือเจ้าของธุรกิจ การปรับมุมมองของคุณให้สอดคล้องกับความคิดของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จอย่างมหาศาล

ชวนลูกค้าคุยยังไงให้ไหลลื่น!?
สอบถามปัญหา
ส่งข้อความสอบถามด้านล่าง

ที่อยู่ :

139 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม 44130
Tel: 094-952-9562 Line id: 9562opad