บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
บริการ: โปรแกรมสำหรับ ตรอ.
รวมคลิปคุณ จิดาภา เซเลสตร้า (โค้ชดวง) ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารและการขายแบบที่ปรึกษา
1. พนักงานขายมือใหม่ชวนลูกค้าคุยยังไงให้ไหลลื่น!?
2. ขายเก่งตลอดปีและตลอดไปด้วยทักษะ 3E (ฝึกง่ายใช้ได้จริง)
3. 5 ขั้นตอน Prospecting หาลูกค้าใหม่สไตล์ B2B ง่ายนิดเดียว
4. สาเหตุที่่แท้จริงทำไมถึงห้ามบอกราคาลูกค้าในช่วงต้นของการสนทนา
5. วิธีเปิดใจลูกค้าฉบับคนไม่ชอบพูดมาก
6. ปิดการขายง่ายๆด้วยการนำเสนอ 3 ขั้นตอนนี้(ไม่ให้รู้สึกว่าพูดมาก)
7. ท้อเหนื่อยกับงานขายต้องทำสิ่งนี้(ฺBig Why)
8. โทรหาลูกค้ายังไงไม่ให้โดนวางหูใส่ เทคนิคการโทรหาลูกค้า(เทคนิคไม่)
9. ขายไม่เป็นก็เก่งได้ด้วย 3 ขั้นตอนนี้ สรุปดูด้านล่าง
10. 3 เทคนิคทีเด็ดที่ช่วยให้ปิดการขายได้มากขึ้นทันที(เทคนิคตอบคำถามด้วยคำถาม) สรุปดูด้านล่าง
11. Empathy ในงานขายทำไมถึงสำคัญและจะพัฒนายัง
12. มัดใจลูกค้าด้วยทักษะการแก้ปัญหาขั้นเทพ (Six Sigma Methodology for sales) (ยาว 1 ชม.)
13. รู้เทรนด์ก่อนใครได้ใจลูกค้าไปครองฉบับงานขาย Business trends 2022 for B2B sales 1 ชม.
14. ROI คืออะไร คิดยังไง ทำไมถึงจำเป็นต้องรู้และมีประโยชน์ยังไงในการขาย
เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณขายเก่งขึ้น 10 เท่า ช่วยให้คุณพูดอะไรแล้วดูน่าฟัง น่าเชื่อถือ และ เขาจะรู้สึกว่าสินค้าของคุณน่าซื้อกว่าใคร มี 3 ขั้นตอนง่ายๆ คุณสามารถทำตามได้ทันที:
ขั้นตอนที่ 1: เริ่มต้นด้วยการพูดถึงปัญหาของลูกค้า
ทำความเข้าใจก่อนว่าลูกค้ากำลังเผชิญปัญหาอะไร และเริ่มจากการพูดถึงปัญหานั้นๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจเขาอย่างแท้จริง
ขั้นตอนที่ 2: บอกแนวทางการแก้ปัญหา
หลังจากพูดถึงปัญหาของลูกค้าแล้ว ต่อไปคือลำดับการพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่เรามีให้ลูกค้า ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันของสินค้าจะช่วยลูกค้าได้อย่างไร
ขั้นตอนที่ 3: บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
เมื่อคุณได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหาแล้ว อย่าลืมย้ำถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าของเรา ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น
ทำไม 3 ขั้นตอนนี้ถึงมีประโยชน์?
ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณคิดและพูดอย่างมีลำดับ ซึ่งทำให้การโน้มน้าวใจลูกค้าสามารถทำได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณพูดถึงปัญหาของลูกค้าก่อน ลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณเข้าใจพวกเขา การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจะทำให้ลูกค้าเห็นภาพได้ชัดเจน และการเน้นถึงประโยชน์จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ตัวอย่างการใช้เทคนิค:
หากคุณขายโปรแกรม CRM และลูกค้าของคุณมีปัญหาคือไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าพนักงานขายไปหาลูกค้าจริงไหม แนวทางการแก้ปัญหาคือโปรแกรม CRM สามารถติดตามการทำงานของพนักงานขาย เช่น การเช็คอินหรือการปักหมุดลูกค้าในแผนที่ ประโยชน์คือช่วยให้ผู้บริหารมั่นใจได้ว่า พนักงานขายได้ออกไปพบลูกค้าจริงๆ
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
หากลูกค้าดูเป็นคนใจร้อน หรืออยากรู้ประโยชน์ก่อน คุณสามารถพูดถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับก่อนเลย แล้วค่อยพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาทีหลัง
การใช้ 3 ขั้นตอนนี้ จะช่วยให้คุณพัฒนาเทคนิคการขายและการนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะพูดอะไร พูดอย่างไร หากคุณทำตามลำดับที่ถูกต้อง
สรุป:
การใช้เทคนิคนี้ช่วยให้การพูดหรือการนำเสนอเป็นเรื่องง่ายขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้กับทุกการขายหรือการนำเสนอไอเดีย!
จากเทคนิคการปิดการขาย 3 ขั้นตอนที่ได้กล่าวไปแล้ว ต่อไปจะเป็นอีก 3 เทคนิคที่จะช่วยให้เรานำเสนอสินค้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพูดถึงปัญหาของลูกค้าอีกครั้ง เพราะเราได้สร้างความเชื่อใจกับลูกค้าแล้ว และเข้าใจปัญหาของลูกค้าเป็นอย่างดี
ขั้นตอนที่ 1: What
ขั้นตอนแรกคือการอธิบายว่า “เรากำลังขายอะไร” นั่นคือการพูดถึงสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนอ แต่ไม่ควรเน้นแค่การบอกคุณสมบัติหรือฟีเจอร์ต่างๆ เพราะมันจะทำให้เราดูเหมือนพนักงานขายที่พูดมากเกินไป เทคนิคคือการให้ลูกค้ารู้ว่าเรากำลังเสนออะไรในลักษณะที่ตรงไปตรงมาและง่ายต่อการเข้าใจ
ขั้นตอนที่ 2: So What
ขั้นตอนที่สองคือการอธิบายว่า “มันสำคัญยังไงกับลูกค้า” หรือ “มันเกี่ยวกับลูกค้าอย่างไร” ในส่วนนี้เราจะอธิบายถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือบริการของเรา เมื่อพูดถึงฟีเจอร์หรือฟังก์ชันต่างๆ ควรเชื่อมโยงให้ลูกค้าเห็นภาพว่า ฟีเจอร์เหล่านั้นจะช่วยแก้ปัญหาหรือทำให้ชีวิตของลูกค้าสะดวกสบายขึ้นอย่างไร
ขั้นตอนที่ 3: Now What
ขั้นตอนสุดท้ายคือ “แล้วต่อไปจะทำอย่างไร” หรือ “ขั้นตอนถัดไปคืออะไร” ในส่วนนี้เราต้องบอกลูกค้าถึงขั้นตอนต่อไปที่เขาต้องทำ เช่น การนัดหมายการสาธิตสินค้า การทดลองใช้งาน 30 วัน หรือการลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้บริการ เมื่อเราให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนถัดไป ลูกค้าจะรู้ว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อเดินหน้าต่อไป
ตัวอย่างการใช้ 3 ขั้นตอนนี้
สมมุติว่าเรากำลังขายระบบ CRM:
ประโยชน์ของการใช้ 3 ขั้นตอนนี้
การใช้เทคนิค “What, So What, Now What” จะช่วยให้การนำเสนอของเรามีความชัดเจนและน่าสนใจมากขึ้น ลูกค้าจะรู้สึกว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงๆ เมื่อเราทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ เราจะไม่เป็นแค่พนักงานขายที่พูดแค่คุณสมบัติของสินค้า แต่เราจะกลายเป็นผู้แนะนำที่ช่วยให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากสินค้าและบริการของเราได้อย่างชัดเจน
สรุป:
การใช้เทคนิค “What, So What, Now What” จะช่วยให้การนำเสนอสินค้าของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการตัดสินใจซื้อสินค้าของเรานั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะเราเชื่อมโยงสินค้าและบริการของเราเข้ากับปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
เทคนิคการขาย Sell Me This Pen | Dev Sethi (คลิป)
เทคนิคการขายปากกาแบบมืออาชีพ
นักขายหลายคนมักพยายามอธิบายคุณสมบัติของสินค้ามากมาย แต่แท้จริงแล้ว วิธีนี้ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะมันอาจทำให้คุณดูเหมือนกำลังขอร้องให้ลูกค้าซื้อสินค้า ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ของนักขายทั่วไปที่ขาดความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ลูกค้าอาจใช้วิธีต่อรองราคาหรือมองว่าสินค้าของคุณไม่มีคุณค่า ผลลัพธ์คือคุณอาจปิดการขายไม่ได้ แทนที่จะขายตรงๆ ลองใช้เทคนิคนี้:
ผลลัพธ์ที่ได้
ลูกค้าจะมองว่าคุณเป็นนักขายที่มีความมั่นใจ สินค้าของคุณดูมีคุณค่าและน่าซื้อมากยิ่งขึ้น เทคนิคนี้ช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น และยังเพิ่มความประทับใจในตัวคุณอีกด้วย
เทคนิคการขายด้วยการใช้เรื่องเล่า (Storytelling)
เทคนิคนี้เน้นการปรับมุมมองของลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อต้องการปิดการขายสินค้าระดับพรีเมียม เช่น ปากกา วิธีการคือสร้างเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่าและความสำคัญของสินค้าผ่านสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขา
ตัวอย่าง
เมื่อมีคนบอกให้คุณขายปากกาให้เขา คุณอาจตอบว่า:
“ปากกานี้เหรอครับ? ได้เลยครับ แต่ก่อนที่ผมจะขายปากกานี้ให้คุณ ขอถามนิดนึงนะครับ ปกติคุณใช้ปากกาเพื่อเซ็นเอกสารประเภทไหนครับ? เป็นสัญญาโครงการราคาถูก หรือเป็นสัญญาระดับมูลค่าหลายล้าน?”
จากนั้นอธิบายต่อ:
“ผมสังเกตว่าคุณทำโครงการใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าสูง การใช้ปากการาคาถูกเซ็นสัญญาอาจไม่สื่อถึงความเป็นมืออาชีพหรือความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร แต่ปากกาพรีเมียมแบบนี้ เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่สำคัญอย่างการเซ็นเอกสารโครงการสำคัญๆ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ปากกา แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ ความมีอำนาจ และความน่าเชื่อถือของคุณด้วย ลูกค้าหรือคู่สัญญาจะมองว่าคุณเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดและให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ทำ”
แนวคิดเบื้องหลัง
ผลลัพธ์จากการเล่าเรื่อง
เมื่อเราใช้เรื่องเล่า ลูกค้าจะมองสินค้าของเราในมุมใหม่ พวกเขาจะเข้าใจว่าทำไมสินค้าพรีเมียมจึงมีคุณค่า และรู้สึกว่าซื้อในสินค้านี้ไม่ใช่แค่การซื้อ แต่เป็นการยกระดับภาพลักษณ์และชีวิตของตัวเอง
เทคนิคนี้ไม่ได้เป็นแค่การขายสินค้า แต่ยังเป็นการสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในตัวผู้ขายอีกด้วย!
คุณเห็นแก่ตัวมากเลย ถ้าคุณขายไม่เป็น(คลิป)
การขายคือการช่วยเหลือ: เปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ถ้าคุณคิดว่าตัวเองขายไม่เป็น อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพราะการขายไม่ได้เป็นเรื่องของการ “ยัดเยียด” หรือ “เอาเปรียบ” แต่เป็น กระบวนการช่วยเหลือผู้อื่น การขายคือการช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการมอบสิ่งที่ตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการของพวกเขา
การขายและการแบ่งปันความรู้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการ “เสนอสิ่งที่เรามี” แต่เป็นการ ตอบโจทย์สิ่งที่คนอื่นต้องการ ถ้าคุณสามารถช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้น และแสดงให้เขาเห็นว่าคุณค่าที่คุณนำเสนอคือคำตอบของปัญหาของเขา ความสัมพันธ์ที่ดีและการยอมรับจะตามมาโดยธรรมชาติ
การขายไม่เป็นเพียงการนำเสนอสินค้าเพื่อผลตอบแทน แต่เป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาและนำเสนอผลลัพธ์ที่ต้องการได้ เมื่อพวกเขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรามอบให้ ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้น และพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณเรา หากคุณมีความรู้ที่มีคุณค่า แต่ไม่แบ่งปันหรือสอนผู้อื่น ถือว่าเป็นการเก็บสิ่งดี ๆ ไว้เพื่อตนเอง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือต่อสังคม การนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเสนอความรู้โดยตรงอาจทำให้ผู้อื่นไม่สนใจหรือปฏิเสธ ดังนั้น ควรใช้เทคนิคการนำเสนอที่แสดงให้เห็นว่าความรู้นั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ เมื่อพวกเขาเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน ก็จะเปิดใจรับฟังและเรียนรู้จากเรา
สรุป การขายเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตดีขึ้นผ่านสิ่งที่เรามอบให้ เมื่อพวกเขาได้รับประโยชน์ ความสัมพันธ์และความขอบคุณจะเกิดขึ้น หากเก็บความรู้ไว้กับตัวเอง จะไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น การนำเสนอควรแสดงให้เห็นว่าความรู้นั้นช่วยแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ผู้รับ เห็นคุณค่าและเปิดใจรับฟัง
เรื่องราวของขอทานชาวอเมริกัน: บทเรียนจากการตลาดและพฤติกรรมมนุษย์(คลิป)
มีขอทานชาวอเมริกันคนหนึ่งนั่งอยู่บนทางเท้า โดยมีชามวางเรียงกัน 9 ใบ แต่ละใบมีป้ายชื่อกำกับ เช่น ศาสนาพุทธ, ศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาฮินดู, ไม่สนใจเรื่องศาสนา และอื่น ๆ ข้าง ๆ ชามเหล่านี้ มีป้ายใหญ่ที่เขียนว่า “ศาสนาใดเห็นใจคนไร้บ้านมากที่สุด”
ขอทานคนนี้ไม่ได้เพียงแค่ขอความช่วยเหลือ แต่ใช้ กลยุทธ์โฆษณา และ เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม อย่างชาญฉลาด โดยเขาไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าเขาต้องการอะไร แต่กระตุ้นให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาคิดตามว่า “ศาสนาของคุณจะช่วยแสดงถึงความมีน้ำใจได้อย่างไร”
แทนที่จะเป็นการขอเงินแบบตรงไปตรงมา ขอทานคนนี้ตั้งคำถามที่กระตุ้นความรู้สึกเห็นใจ และกระตุ้นให้ผู้คนลงคะแนนเสียงผ่านการบริจาคเงินลงในชามของศาสนาที่ตัวเองนับถือ ผลที่ตามมาคือผู้คนมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนศาสนาของตัวเองเพื่อแสดงความภาคภูมิใจในศาสนา และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อศาสนาในสายตาคนอื่น
ใครคือกลุ่มเป้าหมาย?
ในบริบทของสหรัฐอเมริกา คนที่เคร่งศาสนามักมีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจ และอยากปกป้องชื่อเสียงของศาสนาตัวเอง
ทำไมพวกเขาถึงบริจาค?
คนที่เลือกนับถือศาสนาเอง (ไม่ใช่ศาสนาที่ติดตัวมาแต่เกิด) มีแนวโน้มบริจาคมากกว่า เพราะพวกเขาภาคภูมิใจในศาสนาที่เลือกเอง และอยากให้ศาสนานั้นได้รับการยอมรับในทางบวก ส่วนคนที่นับถือศาสนาโดยอัตโนมัติตั้งแต่เกิด กลับบริจาคน้อยกว่า เพราะพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเพิ่มเติม
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ชามของศาสนาที่ผู้คนเลือกเองมักมีเงินบริจาคมากที่สุด ในขณะที่ชามของศาสนาหลักที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนับถือกลับมีเงินน้อย บางวันอาจแทบไม่มีเงินเลย เพราะผู้คนรู้สึกว่าศาสนาหลักได้รับการยอมรับอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรเพิ่มเติม
การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
ขอทานคนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เขาต้องการอะไร และ ต้องการสิ่งนั้นจากใคร เขารู้ว่าในสังคมที่มีคนเคร่งศาสนา การกระตุ้นให้พวกเขาพิสูจน์ความเมตตาผ่านศาสนาของตัวเองเป็นสิ่งที่ทรงพลัง
การสื่อสารที่โดนใจ
การสื่อสารที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การพูดสิ่งที่เราต้องการ แต่คือการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการได้ยิน และกระตุ้นให้พวกเขาลงมือทำ
บทเรียนสำหรับธุรกิจ
หลายครั้ง แคมเปญโฆษณามักเน้นสิ่งที่แบรนด์อยากบอก เช่น “สินค้าของเราถูกกว่า” หรือ “เรามีคุณภาพดีกว่าคู่แข่ง” แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า ลูกค้าต้องการอะไร หากคุณขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความสวยงาม เช่น เสื้อผ้า คุณไม่จำเป็นต้องลดราคาแข่งกับคู่แข่งเสมอไป เพราะลูกค้าอาจไม่ได้สนใจแค่เรื่องราคา แต่สนใจว่าจะใส่แล้วดูดีหรือไม่ การสื่อสารที่ดีต้องเน้นสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่า เช่น “เสื้อผ้าที่ทำให้คุณโดดเด่นในทุกสายตา”
ขอทานชาวอเมริกันคนนี้แสดงให้เห็นว่า การเข้าใจจิตวิทยาของผู้คน และ การสร้างแรงจูงใจที่ตรงจุด สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นขอทานหรือเจ้าของธุรกิจ การปรับมุมมองของคุณให้สอดคล้องกับความคิดของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จอย่างมหาศาล
139 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม 44130
Tel: 094-952-9562 Line id: 9562opad